กลับหน้าแรก

งานสมานมิตร ชมรมมิตรสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2555 เวลา 09:30 - 14:00 น. โรงแรมแม็กซ์ ชั้น 9 ถ.พระรามที่ 9 ห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

          ชมรมมิตรสัมพันธ์ ก่อตั้งขึ้นมาช่วยเหลือสหายอาวุโสฝ่ายก้าวหน้าที่เคยต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม แต่ในปัจจุบันหลายท่านมีวัยวุฒิสูง เจ็บป่วยและขาดแคลนทุนทรัพย์ ชมรมมิตรสัมพันธ์ จึงจะจัดงาน 'สังสรรค์-เรียนรู้-ระดมทุน' นี้จึงจะจัดขึ้นเพื่อการ 'สมานมิตร' พบปะสหายอาวุโสและให้กำลังใจกันอย่างอบอุ่นตามปณิธานของชมรม ในงานนี้ท่านยังจะได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ และเป็นงานระดมทุนเพื่อช่วยเหลือนักต่อสู้อาวุโสในอดีต จึงขอเชิญชวนมิตรสหายและเพื่อนผู้สนับสนุนทุกท่าน เข้าร่วมงาน โดยมีกำหนดการดังต่อไปนี้:

                   09:30 ลงทะเบียน
                   10:00 เปิดงาน
                   10:15 เสวนาศึกษาแบบนักเรียนน้อย “ทำอย่างไรให้มีจิตใจปฏิวัติไปตลอดกาล”
                              ผู้แทนพรรค | นักวิชาการ | กรรมการชมรม | ผู้อาวุโส
                   12:15 รับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน
                   13:00 รำวงสามัคคี - เพลงปฏิวัติในอดีต
                   14:00 ปิดงาน

          งานนี้ชมรมฯ ได้เชิญสหายผู้อาวุโสทั้งหลายเข้าร่วมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อให้ทุกท่านได้สังสรรค์พบปะมิตรสหายกันอย่างอบอุ่น และสำหรับมิตรสหายที่พอมีกำลัง ชมรมฯ ขอรับค่าสนับสนุนอาหารกลางวันตามกำลังศรัทธาต่อไป
          ในการจัดงานครั้งนี้ได้เงินบริจาคและค่าอาหารกลางวันรวมกัน 71,800 บาท

โดยมีผู้บริจาครายสำคัญดังนี้
  1. คุณสงวน สหายเพลิง (โรงสีบุรีรัมย์)                                   20,000 บาท
  2. คุณชาญณรงค์ เตชะรัชต์กิจ (สหายจิ้งหรีด)                         10,000 บาท
  3. คุณจิตรและคุณฝน พลพิพัฒนพล (เขต 3 จังหวัดภาคเหนือ) 10,000 บาท

เมื่อหักค่าอาหารกลางวัน 18,000 บาท สำหรับยอดเงินบริจาครวม 53,800 บาทนั้นยกให้ชมรมเพื่อช่วยเหลือมิตรสหายที่ชราภาพและขาดแคลนทุนทรัพย์




เรียน     ท่านประธาน"ชมรมมิตรสัมพันธ์"ที่เคารพ

            เนื่องจากระยะใกล้ๆนี้ คณะทำงานของชมรมฯมีการเคลื่อนไหวหลายครั้ง จึงขอเรียนเพื่อทราบ ดังนี้
            ครั้งแรกวันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2555 คณะทำงานมีคุณอดิศักดิ์ คุณโค่น ป้าผึ้ง และป้าน้อย
พร้อมกับลุงประชุมร่วมด้วย อาศัยรถของคุณอดิศักดิ์บริการ ไปเยื่ยมผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วย 3 ท่าน คือ 1.คุณ ลุงเชาว์ พงษ์พิชิต 2.คุณป้าฉาย 3.คุณป้าศรีกับคุณลุงเชื่อม
            คุณลุงเชาว์ อายุ 86 ปี ป่วยมาหลายเดือนแล้ว เข้าๆออกๆโรงพยาบาลด้วยโรคต่างๆถึง 4 โรค ขณะนี้เดินไม่ได้ ได้แต่นอนเตียงและนั่งรถเข็น ต้องต่อท่อปัสสาวะ แต่สมองและความจำยังดีเยี่ยม ความมุ่งมั่นอดทนสูง สามารถนั่งพูดคุยปัญหาหนักๆได้เป็นชั่วโมง ยังทำงานเขียนหนังสือทุกวัน แม้จะต้องนอนพักเป็นช่วงๆ คุณลุงบอกว่ากำลังเขียนบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญ ซึ่งบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เสียชีวิตไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลือไม่กี่คนก็ไม่สามารถทำงานนี้ได้ ท่านจึงถือเป็นภาระหน้าที่ของท่านต้องแบกรับจนสำเร็จลุล่วง
            ในอดีตเมื่อ 30-40 ปีก่อน คุณลุงท่านนี้คือปัญญาชนปฎิวัติ เป็นนักทฤษฎีของขบวนการต่อสู้ ของประชาชนอันยิ่งใหญ่ ท่านได้เคยเขียนบทความทางทฤษฎีมากมาย เคยแปลคำสอนของปรมาจารย์จากภาษาต่างประเทศ นำมาให้มิตรสหายได้ศึกษาเรียนรู้ เป็นทิศทางในการปฏิบัติงานต่างๆ ภายหลังเมื่อภาระหน้าที่นั้นยุติลง ท่านกลับลงมาสู่สังคมด้วยมือเปล่าพร้อมด้วยวัยอันล่วงเลย แต่ท่านยังคงใช้ความรู้ความสามารถของท่านเขียนหนังสือต่อไป สำนักพิมพ์มีชื่อรับพิมพ์งานของท่าน สถาบันค้นคว้า เชิญท่านไปเป็นนักวิชาการ มหาวิทยาลัยอย่างน้อย 2 แห่ง เชิญท่านไปเป็นอาจารย์พิเศษ
            ผลงานของท่านที่พิมพ์รวมเล่มแล้วคือ "ลูกจีนรักชาติ" ส่วนเรื่อง "คุณูปการและความผิดพลาดของเหมาเจ๋อตง" กำลังตีพิมพ์ติดต่อกันอยู่ในมติชนสุดสัปดาห์ ท่านยังมีต้นฉบับงานเขียนอีกหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องสำคํญที่กำลังพยายามเร่งเขียนอยู่ในขณะนี้ด้วย
            หลังจากเยี่ยมคุณลุงเชาว์ คณะเราพร้อมลุงประชุมได้ไปเยี่ยมคุณป้าฉายต่อไป
            คุณป้าฉายอายุ 90 เศษ ท่านประสพอุบัติเหตุลื่นล้ม ขาซ้ายท่อนบนหัก เมื่อปีที่แล้ว ได้เข้าโรง พยาบาล แต่ไม่ได้รับการผ่าตัดต่อกระดูก กลับมาอยู่บ้านก็กินยากับยาทาภายนอกอาการทรุดลงต่อเนื่อง วันนี้ที่พวกเรามาเยี่ยม คุณป้าเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ใบหน้าซูบตอบหมองคล้ำ ปากกระตุกขยับเคี้ยว ตลอดเวลาควบคุมไม่ได้ ไม่สามารถขยับเขยี้อนร่างกาย มีเพียงดวงตากลมโตกลอกไปมา มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที แต่เฉยชา ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งๆที่ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนสนิท เด็กที่เฝ้าดูแลบอกว่า บางครั้งคุณยายก็ทำเสียงในลำคอคล้ายจะพูดแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ทว่าวันนี้ที่พวกเรามาเยี่ยม ท่านไม่ทำเสียงใดๆ ท่านไม่รู้จักใคร จำใครไม่ได้ ไม่พูด ไม่สื่อสารใดๆกับใครเลย
            ป้าผึ้งบอกว่าสมัยยังสาวคุณป้าฉายเป็นคนสวย ร่าเริง ร้องเพลงเพราะ เต้นรำเก่ง คุณป้าฉายเองเคยเล่าว่า สมัยเด็กท่านถูกส่งไปอยู่กับป้าที่ประเทศจีบ ป้าเป็นชาวนาที่ยากจน พอดีเกิดสงครามญี่ปุ่นรุกรานประเทศจีน ประชาชนมากมายถูกเข่นฆ่าทารุณอดอยากยากแค้น คุณป้าขณะนั้นเป็นเด็กหญิงวัยรุ่น ได้เข้าร่วมแสดงละครเร่ข้างถนน ปลุกเร้าเพื่อนบ้านให้รักชาติ ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ผู้รุกรานอย่าง กล้าหาญ คุณป้าแสดงละครต่อต้าน แต่สงครามกลับยิ่งดุเดือด คุณพ่อของคุณป้าก็เลยไปรับลูกสาวกลับเมืองไทย กลับมาเพื่อเข้าร่วมขบวนการต่อสู้อีก เพราะกองทัพญี่ปุ่นได้บุกมายึดครองประเทศไทยแล้วใน ปี พ.ศ. 2484 
            4 ปีในสงครามญี่ปุ่น คุณป้ากับเพื่อนๆต้องเสี่ยงชีวิตทำงานที่จัดตั้งมอบหมาย หลังสงครามก็ ยังต้องเคลื่อนไหวต่อไปตามอุดมการณ์เพื่อประเทศชาติและประชาชน รัฐบาลไทยยุคนั้นเผด็จการสุดโต่งทั้งออกกฏหมาย ทั้งจับ ทั้งขัง ทั้งฆ่า ขบวนการต่อสู้อยู่ในเมืองไม่ได้ ถูกบีบให้ขึ้นเขาเข้าป่าจับอาวุธ คุณป้าและคุณลุงถูกจับ คุณลุงเสียชีวิตในคุก ส่วนคุณป้าถูกขัง 8 ปี เมื่อได้รับอิสระภาพออกจากคุก ก็ได้พบว่าบุตรสาวคนเล็กได้เสียสละชีวิตแล้วในการสู้รบในป่าเขา
            คุณป้ามีร่างกายแบบบาง ไม่สู้จะแข็งแรงนัก แต่ทรหดอดทนเป็นเยื่ยม ท่านเล่าว่าสมัยติดคุก นอกจากยึดมั่นอุดมการณ์ ท่านก็ได้อาศัยการบริหารร่างกายแบบ"ซี่กง"มาช่วยเสริมสร้างสมาธิทำให้ร่าง กายและจิตใจเข้มแข็ง สามารถรับมือกับความโหดร้ายทารุณในคุกได้ถึง 8 ปี เพราะซาบซึ้งในคุณค่าของการปริหารแบบ"ซี่กง"นี้ ต่อมาคุณป้าจึงได้พยายามแนะนำเผยแพร่แก่เพื่อนๆทุกคนในทุกโอกาศ จน บางครั้งแทบจะกลายเป็นการยัดเยียด ท่านยังเคยลงทุนพิมพ์เป็นตำราแจกด้วยซ้ำ
            คุณป้าเป็นตนเร่าร้อนต่อเพื่อนฝูงและห่วงใยผู้อื่น สมัยยังเคลื่อนไหวได้คล่องท่านมักจะแต่งตัวเชยๆ ขึ้นรถเมล์ไปเยื่ยมใครต่อใคร ท่านเคยประกอบอาชีพช่วยตัวเอง ขายตรงสินค้าสุขภาพ แม้ภายหลังทำไม่ไหวต้องอยู่บ้านกับลูกหลาน ก็ยังขยันช่วยใช้แรงงานทำอะไรต่ออะไรไม่หยุด ซึ่งเป็นเหตุให้หกล้มบาดเจ็บหลายครั้ง และครั้งหลังสุดก็หกล้มขาหักจนต้องนอนอยู่กับที่ ป่วยทรมานมา กว่าปีจนอาการหนัก เข้าขั้นวิกฤติแล้วในวันนี้ 
            เยื่ยมป้าฉายแล้ว คณะเราเดินทางไปเยี่ยมคุณป้าศรีและคุณลุงเชื่อมต่อไป
            คุณป้าศรีกับคุณลุงเชื่อม ทั้งสองท่านอายุ 83 ปีท่ากัน คุณป้าป่วยด้วยโรครูมาติสซั่มหลายปีแล้ว บางครั้งข้อต่อต่างๆอักเสบปวดบวมเดินไม่ได้ บางขณะก็นั่งรถเข็นได้บ้าง ต่อมาช่วงน้ำท่วมใหญ่ คุณป้าเกิดอาการไส้ติ่งแตกในช่องท้องต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดด่วน นอนโรงพยาบาลกว่าครึ่งเดือน ขณะนี้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน พอจะใช้ไม้เท้าแบบสี่ขาพยุงตัวเดินได้บ้าง
            ส่วนคุณลุงมีจุดอ่อนที่หลอดลม แพ้อากาศ บางขณะหืดหอบหายใจไม่ทัน อันตรายมาก ต้องมีตู้อ๊อกซิเยนไว้ประจำบ้านจะได้ช่วยขั้นต้นเวลาเกิดอาการ แล้วต้องรีบไปโรงพยาบาลช่วยชีวิตเป็นการด่วน ทั้งสองท่านพักอยู่กับบุตรสาว เขาไปทำงานบริษัททุกวัน หยุดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ส่วนบุตร ชายอีกสองคนไปพักอยู่ใกล้ที่ทำงานวันหยุดจึงจะกลับบ้านจึงต้องมีเด็กอีกคนหนึ่งมาอยู่ประจำช่วยดูแลคนป่วยด้วย ด้านเศษฐกิจครอบครัวพออยู่กันได้ไม่เดือดร้อน คุณลุงคุณป้าทั้งสองท่านแม้จะเจ็บป่วยแต่เป็นคนใจดี นุ่มนวล ยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกครั้งที่คณะเราไปเยี่ยม ท่านจะต้อนรับอย่างอบอุ่น และถ้าพอดีกับเทศกาลตรุษจีน ท่านก็จะมีซองอั่งเปาแจกให้แต่ละคนด้วย ซึ่งคณะเราเคยได้รับอั่งเปาจากท่านเช่นนี้รวม 2 ครั้งแล้ว
            เช่นเดียวกับมิตรสหายทั้งหลาย คุณลุงคุณป้าได้อุทิศตนเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ของประชาชนตั้งแต่วัยหน่มสาว ผ่านอันตรายและความยากลำบากมามากมาย ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับ มอบหมายตลอดมา จนกระทั่งการสู้รบยุติจึงได้กลับลงมาสู่สังคม จากนั้นทั้งครอบครัวก็เริ่มต้นนับหนึ่งในการต่อสู้เพื่อดำรงชีวิต ทุกคนต้องดิ้นรนสาหัสเป็นเวลาหลายปีกว่าจะพอยืนอยู่ได้ แต่ทั้งนี้คุณลุงคุณป้าก็ไม่เคยร้องทุกข์กล่าวโทษใคร ยังคงท่วงทำนองน่าเคารพดังเดิม ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เจ็บป่วย ทั้งสองท่านก็มักไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูง หรือไปร่วมงานอื่นๆ แต่ภายหลังก็ต้องงดเพราะสุขภาพเป็นอุปสรรค
            "ชมรมมิตรสัมพันธ์"ถือเป็นภาระหน้าที่ในการไปเยี่ยมเยียนท่าน คณะทำงานได้เคยไปเคารพท่านแล้วหลายครั้งในรอบ 4 ปีพวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสุขภาพของท่านจะดีขึ้นในเร็ววัน จนสามารถไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงได้ดังเดิม
            ต่อมาอีกสองวัน คือวันพุทธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 คุณลุงหมอหยุยได้กรุณามอบหมายให้ หลานสาวของท่านจัดหารถตู้ 1 คัน ไปจังหวัดชลบุรี คณะเดินทางนอกจากคุณลุงหมอกับป้าอิ่มภรรยาของลุงหมอ กับบรรดาศิษยานุศิษย์และหลานๆของท่านแล้ว ก็มีป้าน้อยกับคุณอดิศักดิ์จากชมรมมิตรสัมพันธ์ ทั้งได้ไปสมทบกับคุณหมอตุ๋ยและหนูเนาว์บุตรสาวที่จังหวัดชลบุรีด้วย
            คณะทั้งหมดไปเยี่ยมป้าพันกับครอบครับของท่านที่บ้านจังหวัดชลบุรี คุณป้าอายุ 84 ปี หูหนักมาก ปวดหลัง และยังมีโรคอื่นๆ  อุตส่าห์กะย่องกะแย่งออกมาต้อนรับเพื่อนฝูงด้วยความดีใจ คณะทำงานเคยมาเยี่ยมป้าพันหลายครั้งแล้ว ครอบครับนี้ประกอบอาชีพขายส่งมะพร้าวขูดกับน้ำกะทิคั้นสด  มีเครื่องจักรทุ่นแรงเล็กๆกับคนงาน 1-2 คนช่วยทำงาน วันนี้คุณจำนงบุตรเขยผู้เป็นกำลังหลักไม่อยู่ ไป ซื้อมะพร้าวห้าวจากสวนของชาวบ้าน หลานสาวกับหลานชายไปทำงาน เหลนตัวน้อยไปโรงเรียน คงมีแต่คุณพิมพ์ใจบุตรสาวอายุ 50 เศษ ภรรยาคุณจำนงที่ลางานจากสถานอนามัยมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ และคอยต้อนรับคณะของเราเท่านั้น
            ครอบครัวนี้มาปักหลักทำมาหากินอยู่ที่นี่หลังจากสงครามประชาชนยุติ และหลังจากคุณจำนง คุณพิมพ์ใจกับลูกน้อยได้พากันหนีกลับมาจากที่ได้ถูกจับไปขังไว้ในประเทศลาวแล้ว อาศัยความสามัคคีร่วมใจกันทั้งครอบครัว ทำงานหนักด้วยลำแข้ง ยี่สิบกว่าปี ลูกๆได้ศึกษาเล่าเรียน ปีที่แล้วก็ได้ซื้อ
บ้านผ่อนส่งเป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง ขณะนี้จัดได้ว่าพวกเขาเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว แม้ว่ายังต้องทำงานหนักอยู่ก็ตาม                    คุณป้าพันในวัยเด็กนับได้ว่าเป็น"คุณหนู" ผู้หนึ่ง แต่ท่านได้สละวิถีชีวิตเหล่านั้น มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณลุงผู้เป็นนักอุดมการณ์ คุณลุงนิรันดร์เสียชีวิตไปกว่าสิบปีแล้ว ลูกชายคนเล็กก็หายไป ท่ามกลางการต่อสู้ด้วย
            วันนี้ คุณสุภาพสตรีศิษย์ผู้หนึ่งของคุณลุงหมอ ผู้ซึ่งเป็นภริยาของนักธุรกิจใหญ่เมืองชล ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่พวกเราทั้งหมดที่ร้านอาหารชายทะเลแห่งหนึ่ง ก่อนลากลับป้าพันได้แบ่งส้มสีทองกับอาหารแห้งให้แก่เพื่อนๆรวมทั้งให้แก่ป้าน้อยและคุณอดิศักดิ์ด้วย
            กลับจากเมืองชลถึงกรุงเทพฯจวนค่ำ คุณอดิศักดิ์เลยไปร่วมงานศพคุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ที่วัดสร้อยทอง เชิงสะพานพระรามหก โดยคุณหมอตุ๋ยกับบุตรสาวได้ล่วงหน้าไปยังวัดนั้นก่อนหน้านั้นแล้ว
            คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ) เป็นอดีตปัญญาชนที่หลบหนีการไล่ล่าของเผด็จการขึ้นเขาเข้าป่าในกรณี 6 ตุลา 19 ไม่เพียงตัวคุณหมอที่อยู่บ้านไม่ได้ ทั้งครอบครัวก็ไม่ปลอดภัย หลังจากลูกๆ 3 คนเข้าป่าแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องทิ้งบ้านทิ้งช่องติดตามเข้าป่าไปด้วย
            หลายปีในป่าเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานที่มั่นจังหวัดน่าน ศูนย์บัญชาการใหญ่ของขบวนการต่อสู้ของประชาชน คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ได้ใช้ความรู้ความสามารถทางการแพทย์ รับใช้สหายและมวลชนอบ่างสุดจิตสุดใจสร้างผลงานและลูกศิษย์มากมาย ได้รับคำยกย่องชมเชยเป็นที่รักใคร่ของทุกคนทั่วทั้งเขตงาน
            หลังการสู้รบยุติ คุณหมอและน้องๆพร้อมทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็กลับมาสู่สังคม คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ซึ่งความรู้ความสามารถยิ่งยกระดับสูง ได้รับตำแหน่งอาจารย์ ทั้งได้เปิดคลีนิคด้วย เพราะ ทุ่มเททำงานหนักพักผ่อนไม่พอ ร่างกายทนไม่ไหว คุณหมอได้ล้มป่วย แม้จะได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด แล้ว ก็ไม่สามารถเอาชนะโรคร้ายได้ สุดท้ายคุณหมอก็ต้องจากไป คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ผู้งดงามทั้งกาย ใจและสติปัญญาความสามารถได้จากไปแล้วตลอดกาล ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยรักของผู้ให้กำเนิดและพี่น้องญาติมิตร คงเหลือไว้แต่คุณงามความดีที่จะจารึกไว้ในความทรงจำของผู้อยู่หลังไปนานเท่านาน
            คุณชาญณรงค์ เตชะรัชต์กิจ ท่านอดีตประธาน"ชมรมมิตรสัมพันธ์"ได้โทรศัพท์ทางไกลมาจากจังหวัดภูเก็ต ให้คณะทำงานไปร่วมงานศพและร่วมทำบุญด้วย ซึ่งคณะทำงานก็ได้จัดการตามความประสงค์ของท่านแล้ว โดยหมอตุ๋ยกับคุณอดิศักดิ์ได้เป็นตัวแทนไปร่วมฟังสวดอภิธรรมในคืนวันพุทธที่ 1 กุมภาพันธ์และคืนวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 กับได้ร่วมทำบุญแล้วเป็นเงิน 1,000.- บาท กลุ่มเพื่อนจังหวัดน่านก็ได้ร่วมทำบุญ 1,000.- บาทเช่นกัน                   

คุณหมอได้อุทิศศพให้นักศึกษาแพทย์ใช้ในการศึกษา จึงไม่มีการฌาปนกิจในขณะนี้

จบรายงาน

ด้วยความเคารพ
คณะทำงาน "ชมรมมิตรสัมพันธ์"
8 กุมภมพันธ์ 2555


เรียน     ท่านประธาน"ชมรมมิตรสัมพันธิ์"ที่เคารพ

            สืบเนื่องจากวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่เพิ่งผ่านไป ที่ทำให้ท่านผู้ใหญ่หลายท่านได้รับผลกระทบต้องอพยพกันอุตลุต แต่บัดนี้ ลูกๆหลานๆได้จัดการนำพาท่านกลับมาหมดแล้ว แม้ว่าบางท่านยังคงเจ็บป่วย บ้างต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ เคราะห์ดีไม่มีท่านใดเป็น
อันตรายเลย
            เมื่อเหตุการณ์ค่อยเข้าที่เข้าทาง คณะทำงานของชมรมฯก็ได้ทำการเคลื่อนไหวต่อไป ประเดิมปีใหม่ 2555 ด้วย การไปคารวะอวยพรแด่ลุงประโยชน์ ในโอกาศคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปี กับทั้งไปอวยพรปีใหม่ แด่ลุงธง แจ่มศรี และป้าน้ำด้วย เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา
            คณะทำงานได้ไปเยื่อมลุงประโยชน์ถึงบ้านของท่าน พวกเราไปกันรวม 9 คน คือคุณลุงหมอหยุย คุณลุงประชุม ป้าผิ้ง ป้าน้อย คุณโค่น คุณอดิศักดิ์ คุณหมอตุ๋ยกับลูกสาว และคนขับรถของคุณลุงหมอหยุยด้วย นอกจากของเยี่ยม ต่างๆแล้ว พวกเรามีดอกไม้สวยงามช่อโตไปมอบให้ คุณลุงหมอและคุณลุงประชุมเป็นผู้กล่าวเชิดชูเกียรติและอวยพร ซึ่งคุณลุงประโยชน์และคุณป้าก็ได้ตอนรับคณะเราอย่างอบอุ่นยิ่ง ในการนี้คุณปราโมทย์บุตรชายและบุตรสาวของคุณลุง อีกคนหนึ่งก็ร่วมต้อนรับ ได้นำขนมและเครื่องดื่มมาเลี้ยงมากมาย
            คุณลุงผู้มีอายุยืนยาวถึง 100 ปี ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2455 ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ถึง 20 ปีท่านเล่าว่า ท่านเคยเป็นทหารเกณฑ์ ต้องไปทำงานรับใช้ครอบครัวนายทหารผู้มียศสูงกว่า ประสพความขมขื่น กับการถูกเหยียดหยามและข่มเหงไม่เป็นธรรม คุณลุงหมอหยุยเล่าว่า คุณลุงประโยชน์เป็นคนอยุธยา เช่นเดียวกับท่าน รัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ได้เรียนกฏหมายที่ธรรมศาสตร์ และรับราชการเป็นอัยการ แต่ท่านได้สละอนาคตทางราชการ มาเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ของประชาชน เพราะรักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ลุงประโยชน์เคยรับผิดชอบงานในเมือง มีผลงานและบทบาทมาก แต่ก็ต้องเคลื่อนไหวใต้ดิน อยู่บ้านไม่ได้ถึงสิบกว่าปี ที่สุดก็ถูกจับเข้าคุก เพิ่งออกจากคุกกลับ มาอยู่กับครอบครัวหลังการต่อสู้ด้วยอาวุธยุติแล้ว
            วันนี้ ดูคุณลุงสดใสสมบูรณ์ ยิ้มแย้มใจดี พูดคุยได้ แต่ความจำของท่านมีปัญหาในหลายๆเรื่อง แต่ถึงอย่างไรท่าน ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ทุกคนเคารพรัก เป็นนักต่อสู้รุ่นแรกๆที่คนรุ่นหลังจะต้องศึกษาแบบอย่างต่อไป
            และเพราะว่าเป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2555 คณะเราจึงได้มีโครงการไปเยี่ยมคารวะคุณลุงธง แจ่มศรี และคุณป้าน้ำ ด้วย โอกาศนี้คุณหมอตุ๋ยและลูกสาวได้ช่วยกันเตรียมอาหารกลางวันนำไปรับประทานร่วมกันทั้งหมดที่บ้านขอวคุณลุง บรร ยากาศสนุกสนานมาก คุณลุงทั้ง 3 ท่านคือ คุณลุงธง คุณลุงประชุมและคุณลุงหมอหยุย ลัวนเป็นผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส อายุเข้า เลข 9 บวกลบ เป็นเพื่อนร่วมการต่อสู้ เป็นสหายร่วมรบ ร่ววมอุดมการณ์กันมายาวนานหลายสิบปี ได้มาพบกันในโอกาศ พิเศษ แต่ละท่านมีเรื่องราวมากมายเล่าสู่กันฟัง และเล่าถ่ายทอดไปสู่ลูกๆหลานๆด้วย
            คณะทำงานรู้สึกปิติยินดีมาก ที่ได้ผ่านงานเคลื่อนไหวของ"ชมรมมิตรสัมพันธ์"มารับใช้ท่านผู้ใหญ่ทุกท่านในวันนี้ พร้อมทั้งได้บันทึกภาพไว้แล้วทั้งสองรายการ คือทั้งที่บ้านคุณลุงประโยชน์และบ้านคุณลุงธง ซึ่งคิดว่าจะถอดออกมาเป็นแผ่น ภาพ หรืออัดลงแผ่นซีดีในโอกาศต่อไป
            อนึ่ง ในเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม 2554 คณะทำงานมีการเคลื่อนไหวหลายรายการแต่ยังไม่ได้ส่งรายงาน จึงขอเรียนย้อนหลังย่อๆดังนี้
            1. วันที่ 5 กันยายน 2554 ไปเยี่ยม 3 ท่าน คือ ๑/ คุณวาณี สายประดิษฐ์ ๒/ ป้ารัตน์ ๓/ คุณลุงบุญส่งและคุณป้า และคุณแวว บุตรสาว ทุกท่านเจ็บป่วย วันนั้นคุณหมอตุ๋ยและคุณหมอประกายไปร่วมด้วย ได้ช่วยตรวจรักษาและฝังเข็ม คุณ วาณี ได้มอบหนังสือให้แก่คณะเราคนละหลายเล่ม
            2. วันที่ 6 กันยายน 2554 ไปเยี่ยมคุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ) อดีตปัญญาชนคน 6 ตุลาที่เข้าป่า เคยทำงานหมอ (และถ่ายทอดวิชาทำฟัน)รับใช้สหายและมวลชนในเขตป่าเขา ขณะนั้นกำลังเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คุณอดิศักดิ์ คุณประพน และคุณงา มีน้ำยาสมุนไพรไปฝากด้วย
            3. วันที่ 10 กันยายน 2554 ไปร่วมฟังงานเสวนาวิชาการที่ ม. รังสิต ท่านผู้ใหญ่หลายท่านไปร่วมงาน เช่นคุณลุง แสง คุณลุงวินัย คุณนพ คุณจันดี ป้าผึ้ง ยังมีคุณศรีหรือคุณชำนาญ บรรจงเกลี้ยง นั่งรถเข็นไปร่วมด้วย
            4. วันที่ 16 กันยายน 2554 ไปเยี่ยมท่านผู้ใหญ่ 3 ท่าน คือ คุณลุงเชาว์ พงษ์พิชิต คุณลุงวิโรจน์ อำไพ คุณลุง อุทัย เทียมบุญเลิศ แต่คุณลุงอุทัยขอตัวเพราะอยู่ระหว่างโศกเศร้าที่ภรรยาของท่านเสียชีวิต ส่วนคุณลุงเชาว์ ป่วยมากด้วย หลายโรค ต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาล คุณลุงวิโรจน์ก็ผอมมาก งอมเต็มที ท่านอายุ 90 กว่าแล้ว คุณป้าภรรยาของท่านลื่น ล้มในห้องน้ำ ศรีษะฟาดพื้นสูญเสียความทรงจำ ต้องนั่งรถเข็น เดินไม่ได้ จำผู้คนไม่ได้เลย
            5. วันที่ 19 กันยายน 2554 ร่วมงานสังสรรค์"ภูพยัคฆ์-พบเพื่อน" งานนี้มีมิตรสหายและท่านผู้ใหญ่มาร่วมมากมาย คุณโสภณ พรโชคชัย และคุณชาญณรงค์ เตชะรัชต์กิจ ท่านประธานและท่านอดีตประธานของเราก็ไปร่วมด้วย
            และในวันที่ 11 ตุลาคม 2554 ได้มีงานณาปนกิจศพคุณลุงก้าน ปานช่วย ท่านผู้อาวุโสที่คณะเราเคยไปเยี่ยมหลาย ครั้ง ท่านเสียชีวิตด้วยอายุ 97 ปี คณะเราไปงานนี้ทุกคน และได้ร่วมทำบุญเป็นเงิน 1,000 บาทด้วย และต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 ก็ได้มีการทำบุญ 100 วัน ที่อนุสรณืสถาน"อ่าวศรัเมือง" อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ในงานนี้ป้าน้อยได้ เป็นตัวแทน"ชมรมมิตรสัมพันธ์"ไปร่วมงานแล้ว
            กับยังมีงานวันที่ 15 ตุลาคม 2554 เป็นงานเผาศพคุณประสิทธิ จักรกฤษ มิตรสหายอาวุโสอีกท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้เป็น เพื้อนของคุณลุงหมอหยุย เคยร่วมงานสังสรรค์ของชมรมฯทุกครั้งไม่เคยขาด ท่านเป็นนักต่อสู้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยต่อต้านญี่ปุ่นบุก ประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่สองปี 2484 กระทั่งการเคลื่อนไหว 6 ตุลาคม 2519 ท่านก็เข้าร่วมด้วย งานศพของท่าน ฝนตกมาก คณะทำงานป่วยกันงอมแงม สุดท้ายมีแต่คุณอดิศักดิ์คนเดียว ขี่มอเตอร์ไซด์จากบ้านลาดพร้าวไปถึงวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ และเป็นตัวแทน"ชมรมมิตรสัมพันธ์"เข้าร่วมงานเผาศพ

ด้วยความเคารพ
คณะทำงาน"ชมรมมิตรสัมพันธ์"
30 มกราคม 2555

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น