เรียน ท่านประธาน"ชมรมมิตรสัมพันธ์"ที่เคารพ
เนื่องจากระยะใกล้ๆนี้ คณะทำงานของชมรมฯมีการเคลื่อนไหวหลายครั้ง จึงขอเรียนเพื่อทราบ ดังนี้
ครั้งแรกวันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2555 คณะทำงานมีคุณอดิศักดิ์ คุณโค่น ป้าผึ้ง และป้าน้อย
พร้อมกับลุงประชุมร่วมด้วย อาศัยรถของคุณอดิศักดิ์บริการ ไปเยื่ยมผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วย 3 ท่าน คือ 1.คุณ
ลุงเชาว์ พงษ์พิชิต 2.คุณป้าฉาย 3.คุณป้าศรีกับคุณลุงเชื่อม
คุณลุงเชาว์ อายุ 86 ปี ป่วยมาหลายเดือนแล้ว เข้าๆออกๆโรงพยาบาลด้วยโรคต่างๆถึง 4 โรค
ขณะนี้เดินไม่ได้ ได้แต่นอนเตียงและนั่งรถเข็น ต้องต่อท่อปัสสาวะ แต่สมองและความจำยังดีเยี่ยม ความมุ่งมั่นอดทนสูง สามารถนั่งพูดคุยปัญหาหนักๆได้เป็นชั่วโมง ยังทำงานเขียนหนังสือทุกวัน แม้จะต้องนอนพักเป็นช่วงๆ คุณลุงบอกว่ากำลังเขียนบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญ ซึ่งบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เสียชีวิตไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลือไม่กี่คนก็ไม่สามารถทำงานนี้ได้ ท่านจึงถือเป็นภาระหน้าที่ของท่านต้องแบกรับจนสำเร็จลุล่วง
ในอดีตเมื่อ 30-40 ปีก่อน คุณลุงท่านนี้คือปัญญาชนปฎิวัติ เป็นนักทฤษฎีของขบวนการต่อสู้
ของประชาชนอันยิ่งใหญ่ ท่านได้เคยเขียนบทความทางทฤษฎีมากมาย เคยแปลคำสอนของปรมาจารย์จากภาษาต่างประเทศ นำมาให้มิตรสหายได้ศึกษาเรียนรู้ เป็นทิศทางในการปฏิบัติงานต่างๆ ภายหลังเมื่อภาระหน้าที่นั้นยุติลง ท่านกลับลงมาสู่สังคมด้วยมือเปล่าพร้อมด้วยวัยอันล่วงเลย แต่ท่านยังคงใช้ความรู้ความสามารถของท่านเขียนหนังสือต่อไป สำนักพิมพ์มีชื่อรับพิมพ์งานของท่าน สถาบันค้นคว้า เชิญท่านไปเป็นนักวิชาการ มหาวิทยาลัยอย่างน้อย 2 แห่ง เชิญท่านไปเป็นอาจารย์พิเศษ
ผลงานของท่านที่พิมพ์รวมเล่มแล้วคือ "ลูกจีนรักชาติ" ส่วนเรื่อง "คุณูปการและความผิดพลาดของเหมาเจ๋อตง" กำลังตีพิมพ์ติดต่อกันอยู่ในมติชนสุดสัปดาห์ ท่านยังมีต้นฉบับงานเขียนอีกหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องสำคํญที่กำลังพยายามเร่งเขียนอยู่ในขณะนี้ด้วย
หลังจากเยี่ยมคุณลุงเชาว์ คณะเราพร้อมลุงประชุมได้ไปเยี่ยมคุณป้าฉายต่อไป
คุณป้าฉายอายุ 90 เศษ ท่านประสพอุบัติเหตุลื่นล้ม ขาซ้ายท่อนบนหัก เมื่อปีที่แล้ว ได้เข้าโรง
พยาบาล แต่ไม่ได้รับการผ่าตัดต่อกระดูก กลับมาอยู่บ้านก็กินยากับยาทาภายนอกอาการทรุดลงต่อเนื่อง
วันนี้ที่พวกเรามาเยี่ยม คุณป้าเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ใบหน้าซูบตอบหมองคล้ำ ปากกระตุกขยับเคี้ยว
ตลอดเวลาควบคุมไม่ได้ ไม่สามารถขยับเขยี้อนร่างกาย มีเพียงดวงตากลมโตกลอกไปมา มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที แต่เฉยชา ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งๆที่ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนสนิท เด็กที่เฝ้าดูแลบอกว่า
บางครั้งคุณยายก็ทำเสียงในลำคอคล้ายจะพูดแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ทว่าวันนี้ที่พวกเรามาเยี่ยม ท่านไม่ทำเสียงใดๆ ท่านไม่รู้จักใคร จำใครไม่ได้ ไม่พูด ไม่สื่อสารใดๆกับใครเลย
ป้าผึ้งบอกว่าสมัยยังสาวคุณป้าฉายเป็นคนสวย ร่าเริง ร้องเพลงเพราะ เต้นรำเก่ง คุณป้าฉายเองเคยเล่าว่า สมัยเด็กท่านถูกส่งไปอยู่กับป้าที่ประเทศจีบ ป้าเป็นชาวนาที่ยากจน พอดีเกิดสงครามญี่ปุ่นรุกรานประเทศจีน ประชาชนมากมายถูกเข่นฆ่าทารุณอดอยากยากแค้น คุณป้าขณะนั้นเป็นเด็กหญิงวัยรุ่น ได้เข้าร่วมแสดงละครเร่ข้างถนน ปลุกเร้าเพื่อนบ้านให้รักชาติ ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ผู้รุกรานอย่าง
กล้าหาญ คุณป้าแสดงละครต่อต้าน แต่สงครามกลับยิ่งดุเดือด คุณพ่อของคุณป้าก็เลยไปรับลูกสาวกลับเมืองไทย กลับมาเพื่อเข้าร่วมขบวนการต่อสู้อีก เพราะกองทัพญี่ปุ่นได้บุกมายึดครองประเทศไทยแล้วใน
ปี พ.ศ. 2484
4 ปีในสงครามญี่ปุ่น คุณป้ากับเพื่อนๆต้องเสี่ยงชีวิตทำงานที่จัดตั้งมอบหมาย หลังสงครามก็
ยังต้องเคลื่อนไหวต่อไปตามอุดมการณ์เพื่อประเทศชาติและประชาชน รัฐบาลไทยยุคนั้นเผด็จการสุดโต่งทั้งออกกฏหมาย ทั้งจับ ทั้งขัง ทั้งฆ่า ขบวนการต่อสู้อยู่ในเมืองไม่ได้ ถูกบีบให้ขึ้นเขาเข้าป่าจับอาวุธ คุณป้าและคุณลุงถูกจับ คุณลุงเสียชีวิตในคุก ส่วนคุณป้าถูกขัง 8 ปี เมื่อได้รับอิสระภาพออกจากคุก ก็ได้พบว่าบุตรสาวคนเล็กได้เสียสละชีวิตแล้วในการสู้รบในป่าเขา
คุณป้ามีร่างกายแบบบาง ไม่สู้จะแข็งแรงนัก แต่ทรหดอดทนเป็นเยื่ยม ท่านเล่าว่าสมัยติดคุก
นอกจากยึดมั่นอุดมการณ์ ท่านก็ได้อาศัยการบริหารร่างกายแบบ"ซี่กง"มาช่วยเสริมสร้างสมาธิทำให้ร่าง
กายและจิตใจเข้มแข็ง สามารถรับมือกับความโหดร้ายทารุณในคุกได้ถึง 8 ปี เพราะซาบซึ้งในคุณค่าของการปริหารแบบ"ซี่กง"นี้ ต่อมาคุณป้าจึงได้พยายามแนะนำเผยแพร่แก่เพื่อนๆทุกคนในทุกโอกาศ จน
บางครั้งแทบจะกลายเป็นการยัดเยียด ท่านยังเคยลงทุนพิมพ์เป็นตำราแจกด้วยซ้ำ
คุณป้าเป็นตนเร่าร้อนต่อเพื่อนฝูงและห่วงใยผู้อื่น สมัยยังเคลื่อนไหวได้คล่องท่านมักจะแต่งตัวเชยๆ ขึ้นรถเมล์ไปเยื่ยมใครต่อใคร ท่านเคยประกอบอาชีพช่วยตัวเอง ขายตรงสินค้าสุขภาพ แม้ภายหลังทำไม่ไหวต้องอยู่บ้านกับลูกหลาน ก็ยังขยันช่วยใช้แรงงานทำอะไรต่ออะไรไม่หยุด ซึ่งเป็นเหตุให้หกล้มบาดเจ็บหลายครั้ง และครั้งหลังสุดก็หกล้มขาหักจนต้องนอนอยู่กับที่ ป่วยทรมานมา กว่าปีจนอาการหนัก เข้าขั้นวิกฤติแล้วในวันนี้
เยื่ยมป้าฉายแล้ว คณะเราเดินทางไปเยี่ยมคุณป้าศรีและคุณลุงเชื่อมต่อไป
คุณป้าศรีกับคุณลุงเชื่อม ทั้งสองท่านอายุ 83 ปีท่ากัน คุณป้าป่วยด้วยโรครูมาติสซั่มหลายปีแล้ว บางครั้งข้อต่อต่างๆอักเสบปวดบวมเดินไม่ได้ บางขณะก็นั่งรถเข็นได้บ้าง ต่อมาช่วงน้ำท่วมใหญ่ คุณป้าเกิดอาการไส้ติ่งแตกในช่องท้องต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดด่วน นอนโรงพยาบาลกว่าครึ่งเดือน
ขณะนี้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน พอจะใช้ไม้เท้าแบบสี่ขาพยุงตัวเดินได้บ้าง
ส่วนคุณลุงมีจุดอ่อนที่หลอดลม แพ้อากาศ บางขณะหืดหอบหายใจไม่ทัน อันตรายมาก ต้องมีตู้อ๊อกซิเยนไว้ประจำบ้านจะได้ช่วยขั้นต้นเวลาเกิดอาการ แล้วต้องรีบไปโรงพยาบาลช่วยชีวิตเป็นการด่วน ทั้งสองท่านพักอยู่กับบุตรสาว เขาไปทำงานบริษัททุกวัน หยุดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ส่วนบุตร
ชายอีกสองคนไปพักอยู่ใกล้ที่ทำงานวันหยุดจึงจะกลับบ้านจึงต้องมีเด็กอีกคนหนึ่งมาอยู่ประจำช่วยดูแลคนป่วยด้วย ด้านเศษฐกิจครอบครัวพออยู่กันได้ไม่เดือดร้อน คุณลุงคุณป้าทั้งสองท่านแม้จะเจ็บป่วยแต่เป็นคนใจดี นุ่มนวล ยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกครั้งที่คณะเราไปเยี่ยม ท่านจะต้อนรับอย่างอบอุ่น และถ้าพอดีกับเทศกาลตรุษจีน ท่านก็จะมีซองอั่งเปาแจกให้แต่ละคนด้วย ซึ่งคณะเราเคยได้รับอั่งเปาจากท่านเช่นนี้รวม 2 ครั้งแล้ว
เช่นเดียวกับมิตรสหายทั้งหลาย คุณลุงคุณป้าได้อุทิศตนเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ของประชาชนตั้งแต่วัยหน่มสาว ผ่านอันตรายและความยากลำบากมามากมาย ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับ
มอบหมายตลอดมา จนกระทั่งการสู้รบยุติจึงได้กลับลงมาสู่สังคม จากนั้นทั้งครอบครัวก็เริ่มต้นนับหนึ่งในการต่อสู้เพื่อดำรงชีวิต ทุกคนต้องดิ้นรนสาหัสเป็นเวลาหลายปีกว่าจะพอยืนอยู่ได้ แต่ทั้งนี้คุณลุงคุณป้าก็ไม่เคยร้องทุกข์กล่าวโทษใคร ยังคงท่วงทำนองน่าเคารพดังเดิม ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เจ็บป่วย ทั้งสองท่านก็มักไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูง หรือไปร่วมงานอื่นๆ แต่ภายหลังก็ต้องงดเพราะสุขภาพเป็นอุปสรรค
"ชมรมมิตรสัมพันธ์"ถือเป็นภาระหน้าที่ในการไปเยี่ยมเยียนท่าน คณะทำงานได้เคยไปเคารพท่านแล้วหลายครั้งในรอบ 4 ปีพวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสุขภาพของท่านจะดีขึ้นในเร็ววัน จนสามารถไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงได้ดังเดิม
ต่อมาอีกสองวัน คือวันพุทธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 คุณลุงหมอหยุยได้กรุณามอบหมายให้
หลานสาวของท่านจัดหารถตู้ 1 คัน ไปจังหวัดชลบุรี คณะเดินทางนอกจากคุณลุงหมอกับป้าอิ่มภรรยาของลุงหมอ กับบรรดาศิษยานุศิษย์และหลานๆของท่านแล้ว ก็มีป้าน้อยกับคุณอดิศักดิ์จากชมรมมิตรสัมพันธ์ ทั้งได้ไปสมทบกับคุณหมอตุ๋ยและหนูเนาว์บุตรสาวที่จังหวัดชลบุรีด้วย
คณะทั้งหมดไปเยี่ยมป้าพันกับครอบครับของท่านที่บ้านจังหวัดชลบุรี คุณป้าอายุ 84 ปี หูหนักมาก ปวดหลัง และยังมีโรคอื่นๆ อุตส่าห์กะย่องกะแย่งออกมาต้อนรับเพื่อนฝูงด้วยความดีใจ คณะทำงานเคยมาเยี่ยมป้าพันหลายครั้งแล้ว ครอบครับนี้ประกอบอาชีพขายส่งมะพร้าวขูดกับน้ำกะทิคั้นสด
มีเครื่องจักรทุ่นแรงเล็กๆกับคนงาน 1-2 คนช่วยทำงาน วันนี้คุณจำนงบุตรเขยผู้เป็นกำลังหลักไม่อยู่ ไป
ซื้อมะพร้าวห้าวจากสวนของชาวบ้าน หลานสาวกับหลานชายไปทำงาน เหลนตัวน้อยไปโรงเรียน คงมีแต่คุณพิมพ์ใจบุตรสาวอายุ 50 เศษ ภรรยาคุณจำนงที่ลางานจากสถานอนามัยมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ และคอยต้อนรับคณะของเราเท่านั้น
ครอบครัวนี้มาปักหลักทำมาหากินอยู่ที่นี่หลังจากสงครามประชาชนยุติ และหลังจากคุณจำนง คุณพิมพ์ใจกับลูกน้อยได้พากันหนีกลับมาจากที่ได้ถูกจับไปขังไว้ในประเทศลาวแล้ว อาศัยความสามัคคีร่วมใจกันทั้งครอบครัว ทำงานหนักด้วยลำแข้ง ยี่สิบกว่าปี ลูกๆได้ศึกษาเล่าเรียน ปีที่แล้วก็ได้ซื้อ
บ้านผ่อนส่งเป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง ขณะนี้จัดได้ว่าพวกเขาเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว แม้ว่ายังต้องทำงานหนักอยู่ก็ตาม
คุณป้าพันในวัยเด็กนับได้ว่าเป็น"คุณหนู" ผู้หนึ่ง แต่ท่านได้สละวิถีชีวิตเหล่านั้น มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณลุงผู้เป็นนักอุดมการณ์ คุณลุงนิรันดร์เสียชีวิตไปกว่าสิบปีแล้ว ลูกชายคนเล็กก็หายไป
ท่ามกลางการต่อสู้ด้วย
วันนี้ คุณสุภาพสตรีศิษย์ผู้หนึ่งของคุณลุงหมอ ผู้ซึ่งเป็นภริยาของนักธุรกิจใหญ่เมืองชล
ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่พวกเราทั้งหมดที่ร้านอาหารชายทะเลแห่งหนึ่ง ก่อนลากลับป้าพันได้แบ่งส้มสีทองกับอาหารแห้งให้แก่เพื่อนๆรวมทั้งให้แก่ป้าน้อยและคุณอดิศักดิ์ด้วย
กลับจากเมืองชลถึงกรุงเทพฯจวนค่ำ คุณอดิศักดิ์เลยไปร่วมงานศพคุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ที่วัดสร้อยทอง เชิงสะพานพระรามหก โดยคุณหมอตุ๋ยกับบุตรสาวได้ล่วงหน้าไปยังวัดนั้นก่อนหน้านั้นแล้ว
คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ) เป็นอดีตปัญญาชนที่หลบหนีการไล่ล่าของเผด็จการขึ้นเขาเข้าป่าในกรณี 6 ตุลา 19 ไม่เพียงตัวคุณหมอที่อยู่บ้านไม่ได้ ทั้งครอบครัวก็ไม่ปลอดภัย หลังจากลูกๆ 3 คนเข้าป่าแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องทิ้งบ้านทิ้งช่องติดตามเข้าป่าไปด้วย
หลายปีในป่าเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานที่มั่นจังหวัดน่าน ศูนย์บัญชาการใหญ่ของขบวนการต่อสู้ของประชาชน คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ได้ใช้ความรู้ความสามารถทางการแพทย์ รับใช้สหายและมวลชนอบ่างสุดจิตสุดใจสร้างผลงานและลูกศิษย์มากมาย ได้รับคำยกย่องชมเชยเป็นที่รักใคร่ของทุกคนทั่วทั้งเขตงาน
หลังการสู้รบยุติ คุณหมอและน้องๆพร้อมทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็กลับมาสู่สังคม คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ซึ่งความรู้ความสามารถยิ่งยกระดับสูง ได้รับตำแหน่งอาจารย์ ทั้งได้เปิดคลีนิคด้วย เพราะ
ทุ่มเททำงานหนักพักผ่อนไม่พอ ร่างกายทนไม่ไหว คุณหมอได้ล้มป่วย แม้จะได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด
แล้ว ก็ไม่สามารถเอาชนะโรคร้ายได้ สุดท้ายคุณหมอก็ต้องจากไป คุณหมอศิริวรรณ(หมอกิจ)ผู้งดงามทั้งกาย ใจและสติปัญญาความสามารถได้จากไปแล้วตลอดกาล ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยรักของผู้ให้กำเนิดและพี่น้องญาติมิตร คงเหลือไว้แต่คุณงามความดีที่จะจารึกไว้ในความทรงจำของผู้อยู่หลังไปนานเท่านาน
คุณชาญณรงค์ เตชะรัชต์กิจ ท่านอดีตประธาน"ชมรมมิตรสัมพันธ์"ได้โทรศัพท์ทางไกลมาจากจังหวัดภูเก็ต ให้คณะทำงานไปร่วมงานศพและร่วมทำบุญด้วย ซึ่งคณะทำงานก็ได้จัดการตามความประสงค์ของท่านแล้ว โดยหมอตุ๋ยกับคุณอดิศักดิ์ได้เป็นตัวแทนไปร่วมฟังสวดอภิธรรมในคืนวันพุทธที่ 1
กุมภาพันธ์และคืนวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 กับได้ร่วมทำบุญแล้วเป็นเงิน 1,000.- บาท กลุ่มเพื่อนจังหวัดน่านก็ได้ร่วมทำบุญ 1,000.- บาทเช่นกัน
คุณหมอได้อุทิศศพให้นักศึกษาแพทย์ใช้ในการศึกษา จึงไม่มีการฌาปนกิจในขณะนี้
จบรายงาน
ด้วยความเคารพ
คณะทำงาน "ชมรมมิตรสัมพันธ์"
8 กุมภมพันธ์ 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น